Name:

ยินดีต้อนรับ สู่โลกส่วนตัว (หนังสือ) ของผม

Thursday, October 26, 2006

ปาฏิหาริย์

ปี 2510 ผมจบโรงเรียนประชาบาล แต่ไม่ได้เรียนต่อเพราะต้องช่วยพ่อทำนา กราบคุณครูขอลาทิ้งวิชา ก.ไก่ ออกมาใช้ ก.เกวียน
เสียงเพลง "ปริญญาชาวนา" ดังขึ้นมาครั้งใดมันทำให้ผมคิดถึงชีวิตในวัยเด็ก หลังจากผมจบชั้น ป.4 พ่อบอกให้ผมออกมาช่วยทำนา เลี้ยงควาย ถึงผมอยากเรียนต่อมากแค่ไหนพ่อก็ไม่ยอมให้เรียน เพราะโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่มันมีแค่ชั้น ป.4 ถ้าผมจะเรียนต่อก็ต้องเข้าไปเรียนที่ตัวอำเภอซึ่งมันไกลมาก ผมจึงต้องออกมาเลี้ยงควายเช่นนี้ "ฟ้าดำต่ำลงเหนือดงตาล ขี่ควายกลับบ้าน" ผมชอบร้องเพลงนี้เวลาขี่ควายกลับบ้านตอนเย็นๆ แดดร่มลมตกอากาศเย็นสบาย พอขี่ควายมาถึงบ้านควายมันก็จะวิ่งไปที่ท่าน้ำ ทั้งผมและควายอีก 4-5 ตัวก็จะได้เล่นน้ำ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของวัน หลังจากทั้งเหนื่อยและร้อนจากการทำนามาแล้วทั้งวัน พอเราอาบน้ำกันเสร็จผมก็จะไล่ควายขึ้นจากน้ำแล้วเอามันไปเข้าคอก ผมก่อไฟด้วยฟืนท่อนใหญ่เพื่อไล่ยุงให้มัน จากนั้นก็จะถึงเวลาดินเนอร์ของผม ซึ่งเมนูมันก็จะเหมือนกันทุกวัน น้ำพริก ผักต้ม ปลาย่าง มันเป็นเมนูที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาเลยทีเดียว พอค่ำผมก็จะนอนดูเดือนดาวที่มองเห็นอยู่เต็มฟ้า ผมชอบดูมาก บ้านทุ่งบ้านนามันไม่มีแสงไฟฟ้า จะมีก็แสงจากตะเกียงกระป๋องที่ใช้น้ำมันก๊าด มันเลยทำให้มองเห็นแสงจากดวงดาวสว่างจนมองเห็นได้เกือบทุกดวง ดวงจันทร์เป็นราชาบนท้องฟ้าตามความคิดของผม "มองเห็นตากับยายตำข้าวบนดวงจันทร์หรือเปล่าวะ" แม่เคยถามผมแต่ผมก็พยายามจ้องมองไปบนดวงจันทร์ เห็นเพียงเงาดำๆลางๆ ผมคิดว่ามันคงเป็นเงาของตากับยายกระมัง
ปี 2511 เกิดน้ำท่วมใหญ่ ผมต้องไล่ควายไปอยู่บนจอมปลวกที่กลางนา ส่วนตัวผมมัวแต่เล่นสนุก พายเรือออกไปกลางนาที่ถูกน้ำท่วม จับปู ตกปลา ช้อนกุ้ง และหาไข่แมงดา ต้นข้าวกำลังสูงถึงเอวใกล้จะออกรวงแต่น้ำมันมาท่วมเสียก่อน ข้าวบางต้นโผล่ยอดขึ้นมาเหนือน้ำได้ แมงดาก็จะไปไข่ไว้บนยอดข้าว ผมก็จะเก็บมากินดิบๆไข่มันหวานอร่อยมาก "น้ำท่วมมาหลายวันแล้วถ้ามันยังไม่ลดภายใน 2-3 วันนี้ข้าวคงเน่าตายแน่" แม่พูดกับพ่อพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหล แม่ร้องไห้พ่อยังคงนั่งกอดเข่ามองดูน้ำที่ท่วมนา พ่อไม่พูดอะไรไม่กินอะไรมา 2-3 วันแล้ว "ถ้าน้ำมันไม่ลดจริงๆเราจะทำยังไงกันดี" แม่ยังคงร้องไห้ "เราต้องรอปาฏิหาริย์" พ่อพึมพำ "ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นทุกวันมันคงจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง"

"พี่จะกินข้าวหรือ" เสียงน้อยตะโกนถามขณะที่ผมกำลังใช้มีดพยายามเปิดปลากระป๋องที่เหลืออยู่กระป๋องสุดท้ายเพื่อที่จะกินข้าวเย็น "เออ…มากินด้วยกันสิ" ผมค่อยๆเทปลากระป๋องใส่กะละมังอย่างระวัง เพราะกระป๋องที่ทำด้วยสังกะสี เวลาถูกเปิดด้วยมีดมันจะคมมาก ฝามันเคยบาดนิ้ว
ผมมาครั้งหนึ่งแล้ว น้อยถือกะละมังสีครีมใส่ข้าวมาเกือบเต็ม พร้อมกับหัวผักกาดเค็มมาสองหัว เพื่อมานั่งกินข้าวกับผม น้อยไม่ได้เรียนหนังสือเพราะพ่อแม่ยากจนมาก มีอาชีพรับจ้างทั่วไปหน้าทำนาก็รับจ้างทำนาหน้าเกี่ยวข้าวก็รับจ้างเกี่ยวข้าว เดินทางหารับจ้างทั่วไป
ปี 2514 มีข่าวลือไปทั่วว่ามีเพชรพลอย ทับทิมที่เขาสมิง จ.ตราดและที่บ่อไร่ จ.จันทบุรี พ่อแม่น้อยก็เลยมาขุดหาพลอยที่เขาสมิงโดยมาปลูกกระท่อมมุงด้วยใบไม้อยู่ตีนเขา…

หลังจากน้ำท่วมนาปีต่อมาเกิดฝนแล้งข้าวตาย พ่อจึงตัดสินใจขายนาแล้วมาซื้อรถกระบะทำเป็นรถสองแถวรับจ้าง แต่รายได้ก็ไม่ค่อยดีหลังจากที่พ่อได้ข่าวว่ามีคนขุดพลอยขายได้เป็นพันเป็นหมื่น พ่อจึงตัดสินใจมาเสี่ยงโชค ผมนั่งรถมากับพ่อโดยให้แม่อยู่บ้านกับน้องที่ยังต้องเรียนหนังสือ พ่อขับรถมาหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเต็มๆกว่าจะมาถึง ผมกับพ่อช่วยกันถอดหลังคารถสองแถวเพื่อนำมาทำเป็นหลังคากระท่อม ตัดไม้ไผ่มาทำเป็นพื้น กันฝาด้วยใบสัก อยู่ใกล้ๆกระท่อมของน้อย ห่างออกไปอีกหน่อยก็มีกระท่อมปลูกอยู่มากมาย ทั้งที่อยู่กันเป็นกลุ่ม บ้างก็อยู่หลังเดียว
ผมมาถึงวันแรกผมนอนคิดว่าถ้าผมขุดพลอยขายได้สักห้าร้อยหรือพัน ผมจะขอพ่อซื้อเสื้อซื้อกางเกงซื้อรองเท้าฟองน้ำตราช้างดาวที่ผมอยากได้มานาน กางเกงผมก็มีแค่สองตัวหนำซ้ำตัวหนึ่งมันก็ขาดแล้วด้วย เสื้อก็มีแค่สามตัวมีรอยขาดแล้วทุกตัว ผมอายุ 13-14 แล้วผมเริ่มรู้สึกอาย น้อยบอกกับผมว่าพ่อน้อยล่อนพลอยได้แต่เม็ดเล็กๆขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียววันละ 3-4 เม็ด ขายได้วันละ 50-60 บาทบางวันก็ไม่ได้เลย แต่พ่อก็ยังหวังว่าจะได้เม็ดใหญ่ๆบ้าง

วิธีการขุดพลอย
เริ่มจากขุดหน้าดินออกมาให้ลึกประมาณหนึ่งเมตรแล้วถึงจะขุดเอาดินที่เป็นลูกรังปนหิน (ที่เขาเรียกว่าแร่) ขึ้นมากองบริเวณปากหลุมแล้วก็จ้างรถกระบะมาขนไปเทไว้ที่ริมห้วย จากนั้นก็ใช้ตะแกรงถี่ๆมาล่อนให้ดินละลายจนหมดเหลือแต่หินที่เป็นแร่เล็กใหญ่ แล้วค่อยๆคัดหินทิ้งหาแต่เม็ดพลอย ส่วนมากจะเป็นพลอยทับทิมสีแดง มีคนเจอทุกวันแต่จะเป็นเม็ดเล็กๆเม็ดเท่ากับเมล็ดข้าวขายได้ไม่กี่บาท ส่วนน้อยที่จะมีคนพบเม็ดใหญ่ๆขายได้เป็นหมื่นๆ
มีคนหลั่งไหลมาเสี่ยงโชคกันเป็นจำนวนมาก บางคนก็มาเปิดบ่อใหม่บางคนก็มาขุดบ่อเก่าของคนอื่น มีบ่อที่ขุดจนลึกแต่ไม่เคยเจอพลอยเลย พอย้ายไปมีคนมาขุดใหม่ได้เม็ดใหญ่ขายได้เป็นหมื่นก็มี บางคนเห็นมีคนเคยขุดได้ที่บ่อนี้แล้วย้ายไป เพราะบ่อลึกมากอันตรายเลยลองเสี่ยงลงไปขุด ดินเกิดถล่มบ่อพังลงไปทับฝังร่างตายไปก็มีหลายราย

ผมกับพ่อช่วยกันขุดเปิดหน้าดินเสร็จแล้วพ่อก็เอารถไปรับจ้างขนแร่ไปเทที่ห้วย เพราะว่าการรับจ้างแบบนี้มันได้เงินแน่นอน ปล่อยให้ผมขุดอยู่คนเดียวหินแข็งมาก วันแรกมือผมแตกแสบทั้งสองข้างแต่ผมก็หวังว่าจะได้พลอยเม็ดนึงเพื่อที่จะขอพ่อซื้อรองเท้าใหม่ เพราะรองเท้าที่ผมใส่อยู่พื้นมันบางจนถึงเท้าผมอยู่แล้ว ผมเจ็บเท้าเวลาลงไปขุดหาพลอยผมเคยบอกพ่อแล้วแต่พ่อก็เฉยๆพ่อคงยังไม่มีเงิน

"ปลากระป๋องเหลือกระป๋องเดียวหรือพี่" น้อยถามขณะตักปลากระป๋องไปคลุกกับข้าว "เออเย็นนี้พ่อคงซื้อมาใหม่" ผมบอกแต่ก็ไม่แน่ใจถ้าพ่อไม่ซื้อมาพรุ่งนี้เช้าผมคงกินข้าวกับหัวผักกาดเค็มอย่างเดียว "หัวผักกาดของผมก็หมดแล้ว" น้อยบอก "ถ้าวันนี้พ่อไม่ได้พลอยอีกพ่อบอกว่าจะกลับบ้านไปรับจ้างดำนา" น้อยพูดทำตาแดงๆ น้อยเคยหวังว่าถ้าพ่อได้พลอยเม็ดใหญ่ๆเขาจะขอพ่อไปตลาดเขาจะกินก๋วยเตี๋ยวซัก 4-5 ชาม น้อยบอกผมว่าตั้งแต่เกิดมาเขาเคยกินก๋วยเตี๋ยวแค่สองครั้งมันอร่อยมาก เขาจึงอยากกลับไปลิ้มรสชาดนั้นอีกครั้งถ้ามีโอกาส "กินซักหน่อยนะครับลูกครับก๋วยเตี๋ยวไก่นี่ก็อร่อยก๋วยเตี๋ยวหมูกับลูกชิ้นนี่ก็อร่อย นะครับลูกครับ" ผมคิดถึงเด็กผิวขาวท้วมรุ่นราวคราวเดียวกับน้อย ที่พ่อแม่พยายามอ้อนวอนให้ลูกกินก๋วยเตี๋ยว ที่ร้านอาหารข้างปั๊มน้ำมัน ผมกับพ่อเคยแวะกินตอนที่มาที่นี่ "เส้นเล็กลูกชิ้นสองชาม" พ่อผมสั่ง "ไม่เอาผมจะกินพิซซ่า" เสียงเด็กคนนั้นอ้อน "ที่นี่ไม่มีขายครับเดี๋ยวกลับบ้านก่อนค่อยกินนะครับ" เสียงพ่อเด็กบอก ผมไม่สนใจ กินก๋วยเตี๋ยวที่พ่อสั่งนานๆผมจะได้กินก๋วยเตี๋ยวซักครั้ง ผมกินเส้นจนหมดแล้วจึงซดน้ำโดยยังไม่กินลูกชิ้นกะว่าจะกินตอนสุดท้าย "วิดน้ำให้แห้งก่อนแล้วถึงจะจับปลาหรือ" พ่อพูดแซวแล้วก็ยิ้ม นานๆพ่อจะยิ้มกับผมซักครั้ง ผมกินจนเกลี้ยงทั้งน้ำทั้งเส้นนี่ถ้าช้อนกับตะเกียบกินได้ผมคงกินมันเข้าไปด้วยผมมองไปที่โต๊ะเด็กคนนั้น ยังคงเห็นก๋วยเตี๋ยวสามชามเต็มอยู่แต่พ่อแม่ลูกนั้นไปแล้ว
เสียงรถจอดพ่อกลับมาแล้วในมือพ่อหิ้วปลาทูเค็ม หัวผักกาดและถุงข้าวสารมาด้วย พ่อกับน้อยก็กลับมาพร้อมพ่อผมด้วย "พรุ่งนี้จะกลับแน่หรือ" พ่อร้องถามพ่อน้อย "คงกลับแน่เพราะอยู่ไปคงอดตาย ข้าวสารก็จะหมดแล้ววันนี้ก็ไม่ติดซักเม็ดเลย" พ่อน้อยบอก "คิดว่ากลับไปรับจ้างดำนาดีกว่า" วันนี้พ่อน้อยก็คงไม่ได้พลอยอีก พ่อผมบอกว่าพรุ่งนี้จะเอาแร่ที่ผมขุดไปล่อนที่ห้วย

คืนนี้ดาวขึ้นเต็มท้องฟ้าผมเลือกดูดาวที่มันมีแสงอ่อนๆตามวาสนาของผมแต่ก็ยังอดที่จะเหลือบไปดูดวงที่มีแสงสดใสเกินวาสนาไม่ได่ "ดึกแล้วเข้านอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องลุกแต่เช้า" พ่อเรียกให้ผมเข้านอน… "เฮ้ย! ปาฏิหาริย์มีจริงแล้วเว้ยเราไม่อดตายแล้ว" เสียงพ่อน้อยตะโกนเสียดังตั้งแต่เช้ามืดขณะที่ผมกำลังติดไฟหุงข้าว "มีอะไรหรือ" พ่อตะโกนถาม "ไอ้น้อยสิไอ้น้อย" พ่อน้อยพูดเสียงสั่น "ทำไม" "ไอ้น้อย!ไอ้น้อยมันลุกไปเยี่ยวเมื่อเช้าแล้วมันดันเยี่ยวลงไปใส่เม็ดพลอยทับทิมสีแดงเม็ดเกือบเท่านิ้วก้อยคงได้หลายหมื่น" พ่อน้อยเอาพลอยให้พ่อดู ทั้งพ่อแม่น้อยต่างดีใจกันใหญ่ผมกับพ่อก็พลอยดีใจไปด้วย ขุดแร่ล่อนพลอยมาเป็นเดือนไม่เคยเจอซักเม็ดแค่ไปเยี่ยวกลับเจอเม็ดใหญ่ ปาฏิหารย์มันคงมีจริงอย่างที่พ่อน้อยพูดผมนั่งแช่น้ำล่อนแร่ตั้งแต่เช้าจนบ่ายแร่หมดไปครึ่งกองแล้ว ผมยังไม่ได้พลอยซักเม็ดแขนผมเริ่มล้า มือที่แตกตอนที่ขุดแร่มา 2-3 วันเริ่มแสบเลือดที่ปลายนิ้วเริ่มไหลออกมา ผมเริ่มท้อ แต่พอคิดถึงน้อง คิดถึงเสื้อผ้าใหม่ คิดถึงรองเท้าใหม่ ผมยังคงแข็งใจล่อนต่อพ่อเคยบอกว่าปาฏิหารย์เกิดขึ้นทุกวันมันคงจะเกิดขึ้นกับเราบ้างซักวัน ผมก็หวังว่ามันคงจะเป็นอย่างนั้น มือผมแสบมากขึ้นเลือดเริ่มไหลแดงออกมาที่ตะแกรง แต่ผมยังคงล่อนต่อไปโดยไม่สนใจ
ตีพิมพ์ครั้งแรก หนังสือทำมือ "พ่อเล่าลูกเขียน"
มกราคม 2546
ตีพิมพ์ครั้งที่ 2 นิตยสาร a day
ธันวาคม 2547

4 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ต้องการช่างภาพบอก เดี๋ยวจัดให้
(ค่าตัวไม่เอา ขอแค่ค่าเหล่าพอ)

5:18 AM  
Anonymous Anonymous said...

เราชอบเรื่องปาฏิหารนะ อ่านแล้วมีกำลังใจดี คนที่เค้าลำบากกว่าเราก็มีอีกเยอะนะ

11:36 PM  
Anonymous Anonymous said...

ชอบมากเลย เรื่องบนเตียงนะ

1:57 AM  
Anonymous Anonymous said...

ส่วนผมชื่อ นาย จักรพันธ์ พูลพินิจ อยู่ราชบุรี บ้านเกิด อยู่ที่ พิจิต

1:58 AM  

Post a Comment

<< Home