Name:

ยินดีต้อนรับ สู่โลกส่วนตัว (หนังสือ) ของผม

Monday, October 30, 2006

ครอบครัว


ณ โลกใบหนึ่ง ซึ่งมีหลากหลาย เมือง
ณ เมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งมีหลากหลาย ครอบครัว
และ ณ ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีเพียง พ่อแม่ลูก

ครอบครัวนี้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ภายในหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่โตนักในแถบชานเมือง โดยมีพ่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว มีแม่ผู้เป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว และมีลูกผู้เป็นผู้ช่วยของทั้งสอง

“อ่ำ” ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวนั้น มีบุคลิกที่เงียบขรึม น่าเกรงขาม ด้วยวัยที่เริ่มชราแล้วจึงไม่ได้มีอาชีพอะไรทำ แต่อ่ำก็เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี และเป็นที่เคารพของภรรยาและลูก

“ปุ๊” ผู้หาเลี้ยงครอบครัวด้วยอาชีพขายอาหารให้คนในหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้คนต่างก็รู้สรรพคุณของเธอดี ว่าเธอทำอาหารได้อร่อยแค่ไหน เธอเป็นคนที่รักสามีและลูกมาก ยอมตามใจทุกอย่างโดยไม่บ่นแม้แต่สักคำเดียว

ส่วน “เปี๊ยก” เด็กชายวัย 12 ขวบ ผู้เป็นผู้ช่วยของทั้งสอง เปี๊ยกเป็นเด็กหัวดีเรียนเก่ง แต่ก็เรียนได้แค่ชั้น ป.4 เนื่องจากทางบ้านไม่มีเงินส่งให้เรียน เขาจึงต้องออกจากโรงเรียนมาอยู่บ้าน เปี๊ยกเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง ช่วยงานครอบครัวอยู่เสมอ ทั้งงานบ้าน และงานทางร้าน เขาเป็นเด็กที่กลัวผู้เป็นพ่อมาก อันเนื่องมาจากสาเหตุที่ว่า

นิสัยส่วนตัวของเปี๊ยกนั้นเป็นคนที่ชอบศิลปะ รักการวาดเขียนเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้เป็นพ่ออย่างยิ่งยวด อ่ำนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบ งานศิลปะเสียเลย ไม่ชอบถึงขั้นเกลียดเลยทีเดียว โดยเขาให้เหตุผลกับตัวเองและลูกว่า คนทำงานศิลปะ หรือพวกศิลปิน เป็นคนไม่ดีเหมือนเป็นคนบ้า แต่งตัวก็ไม่เรียบร้อยสกปรกรกรุงรัง น่าเกลียดไม่น่าคบ เขาจึงสั่งลูกชายอย่างเด็ดขาด ว่าห้ามวาด ห้ามเขียน ห้ามไปยุ่งกับพวกศิลปิน ห้ามอะไรทุกอย่างที่เกี่ยวกับศิลปะ

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ อ่ำผู้เป็นพ่อจับได้ว่าลูกชายของตนนั้น แอบเขียนรูปในบ้าน ทำให้เขาโกรธจัด ถึงขั้นจับลูกชายมาลงโทษ โดยการจับมัดมือแขวนไว้กับคานบ้านแล้วกระหน่ำตีอย่างไม่ยั้ง พร้อมกับบอกลูกชายว่า ห้ามทำแบบนี้อีกเด็ดขาด เปี๊ยกถึงกับร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมามันทั้งเจ็บทั้งเสียใจ ปุ๊ผู้เป็นแม่ก็เข้ามาห้ามสามีด้วยความสงสารลูกอย่างยิ่ง จากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เปี๊ยกรู้สึกกลัวผู้เป็นพ่อขึ้นมาอย่างจับใจ แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ความรักความชอบในศิลปะของเขานั้นลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย

เปี๊ยกมีงานอดิเรกที่นอกเหนือจากการทำงานบ้าน และงานที่ร้านแล้ว คือการไปดูคนวาดโปรแกรมหนัง ซึ่งเวลามีหนังใหม่เข้ามาฉายในหมู่บ้าน ทางโรงหนังก็จะมีการขับรถประกาศโฆษณาว่าหนังเรื่องนี้เข้าฉายแล้ว และตามรถพวกนี้ก็จะมีภาพของดาราที่แสดงนำติดไว้กับรถด้วย เปี๊ยกชอบดูงานพวกนี้มาก เขาสามารถอยู่กับคนพวกนี้ได้เป็นวันๆ ช่วยผสมสีบ้าง ช่วยทาตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง มันทำให้เขามี ความสุข คนพวกนี้ก็รู้จักเปี๊ยกกันแทบทุกคนและให้ความเอ็นดูเขาเป็นอย่างมาก แต่เนื่องด้วยเปี๊ยกไม่ค่อยมีเวลา เขาจึงมักจะเจียดเอาเวลาที่แม่ใช้เขามาซื้อของที่ตลาด แวะมาที่หลังโรงหนังเพื่อมาคลุกคลีกับงานศิลปะที่เขารัก จนบางครั้งนานเป็น 2-3 ชั่วโมง ทำให้แม่ด่าว่าเป็นประจำ แต่แกก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่แม่ใช้เขาไปซื้อของที่ตลาด และเปี๊ยกก็เต็มใจอย่างยิ่ง แม่ให้เงินแบงค์ ห้าร้อยแก่เขาหนึ่งใบ มันเป็นเงินที่มากโขสำหรับเด็กอายุ 12 ขวบอย่างเขา แล้วสั่งให้ไปซื้อน้ำปลามาหนึ่งขวด ตามด้วยการกำชับว่า “อย่าทำเงินหายละ” เปี๊ยกกำเงินแน่นแล้วรีบวิ่งออกจากร้านตรงไปยังหลังโรงหนังที่เขาคุ้นเคย และเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นเคยเช่นกัน เปี๊ยกทำงานกับคนพวกนั้นจนเพลิน ลืมเวลาไปเสียสนิท เมื่อพระอาทิตย์ตกดินฟ้าเริ่มมืด เขาก็นึกขึ้นได้ว่า แม่สั่งให้เขามาซื้อน้ำปลานี่นา เปี๊ยกเริ่มสำรวจตัวเองอย่างเร่งรีบและแล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เงินแบงค์ห้าร้อยที่แม่ให้เขามาซื้อน้ำปลานั้นไม่อยู่กับตัวเสียแล้ว มันหายไปไหน เขาสับสน รู้สึกกลัวขึ้นจับใจ กลัวไปเสียทุกอย่างกลัวพ่อจะตีที่ทำเงินหาย กลัวแม่จะด่าที่กลับบ้านดึก กลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับพ่อและแม่ กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง เขาทำอะไรไม่ถูก คิดได้แต่เพียงว่า อย่ากลับบ้าน อย่ากลับบ้าน!

เปี๊ยกเดินเรื่อยเปื่อยโดยไร้จุดหมายออกจากโรงหนังจนมาถึงตลาด มันเป็นตลาดที่วายแล้ว แม่ค้าต่างก็พากันเก็บข้าวเก็บของ ผู้คนเริ่มบางตาลง เขาคิดอะไรไม่ออก ทรุดตัวลงนั่งชันเข่าข้างๆกับถังขยะ แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลริน ความกลัว ความกดดัน ความเสียใจ รวมจนถึงความหิว ก็พากัน ถาโถมพลั่งพลูออกมาจากนัยตาคู่นั้น เปี๊ยกสะอื้นเล็กๆ เวลาผ่านไปไม่นานเขาก็ผล็อยหลับลงตรงข้างถังขยะนั้น

เวลาล่วงเลยมาจนถึงห้าทุ่ม เปี๊ยกรู้สึกตัวขึ้นมาจากเสียงเรียกที่เขาได้ยินในระยะไม่ไกลจากตัวเขานัก เสียงนั้นขานแต่ชื่อเขาอยู่ตลอด เปี๊ยกลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ เขาเห็นแม่และพ่อยืนอยู่ที่ปากซอยตลาด ซึ่งกำลังตะโกนร้องเรียกและมองหาเขาอยู่ เปี๊ยกไม่รู้จะทำอย่างไร ทันใดนั้น นายอ่ำและนางปุ๊ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดเด็กคนนี้ก็หันมาทางเขาพอดี

ทั้งคู่รีบวิ่งตรงเข้ามาหาลูกชายของตน อ่ำเข้ามากอดลูกหนึ่งทีแล้วพูดเพียงว่า “กลับบ้านได้แล้ว ดึกแล้ว” จากนั้นก็ละมือจากอ้อมกอดเดินหันหลังกลับทันที ส่วนปุ๊ผู้เป็นแม่ก็เข้ามาโถมกอดลูกของตนด้วยความดีใจ พร้อมกับน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาอยู่ตลอด เธอบอกกับลูกว่าให้กลับบ้านในน้ำเสียงที่สั่นเครือ แล้วก็อุ้มลูกขึ้น นางปุ๊เดินตามสามีออกมาจากตลาด ระหว่างระยะทางของตลาดถึงบ้านไม่มีเสียงการสนทนาใดๆทั้งสิ้น นอกจากเสียงสะอื้นของนางปุ๊

เปี๊ยกผู้เปรียบเสมือนผู้ต้องหาที่เพิ่งพ้นคดีมาได้กลับรู้สึก แย่ยิ่งนัก เขารู้สึกเสียใจอย่างมาก ที่ทำตัวอย่างนี้ มันทำให้แม่ต้องร้องห่มร้องไห้ตลอดระยะเวลาที่เขาหายตัวไป และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เขารับรู้ว่า ผู้เป็นพ่อนั้นรักเขามากแค่ไหน จากการที่พ่อนั้นไม่ซักไซ้เขาเลยหรือแม้แต่จะดุด่าต่อว่าเขาพ่อก็ไม่ทำ พ่อทำเพียงแต่เข้ามากอดเขาแล้วบอกให้กลับบ้าน มันทำให้เขารู้สึกเสียใจจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาเป็นสายเลือดเลยทีเดียว

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจเป็นที่สุดว่าจะไม่มีวันทำอย่างนี้อีกตลอดชีวิตคือ เขาสังเกตเห็นดวงตาของผู้เป็นพ่อในขณะที่โผเข้ามากอดเขานั้น เต็มไปด้วยน้ำใสๆที่เขาไม่เคยเห็นมันออกมาจากดวงตาคู่นี้เลย และมันก็เปรียบเสมือนคำยืนยันว่า พ่อรักเขามากแค่ไหน...

ตีพิมพ์ครั้งแรก หนังสือทำมือ long
กุมภาพันธ์
2545

7 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ครอบครัวเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด ดังนั้นคนเราถ้าจะทำอะไรต้องนึกถึงคนที่อยู่ข้างหล้งด้วย ไม่ใช่คิดแค่ตัวของเราคนเดี๋ยว ..................


By orathai

6:46 AM  
Anonymous Anonymous said...

สงสารเปี๊ยกจังเลย ถ้าเป็นเราก็คงไม่กล้ากลับบ้านหรอก กลัวโดนแขวนที่คาน

by pooh

6:54 AM  
Anonymous Anonymous said...

ถ้าตัวอักษรใหญ่กว่านี้คงดี จะได้ไม่ต้องนั่งใกล้จอ

by pooh

7:04 AM  
Blogger เอกดนัย พูลพินิจ said...

เรื่องตัวหนังสือ คงต้องขออภัยด้วยนะครับ ถ้ามันเล็กจนเกินไป แต่คิดว่าอยู่ที่ตัวเครื่องด้วยนะครับ

6:12 PM  
Anonymous Anonymous said...

แต่ไม่เป็นไรอ่านแล้ว น้ำตาไหลก็ OK อยากให้ผู้เขียนได้ส่งเรื่องใหม่เข้ามาด้วยเพื่อเป็นแรงบันดาลใจต่อไปค่ะ

by pooh

9:25 PM  
Anonymous Anonymous said...

เชื่อว่า...พ่อแม่ทุกคนย่อมรักลูก อาจจะต่างกันบ้างที่วิธีการแสดงออกเท่านั้น



'S SiSter

10:44 PM  
Anonymous Anonymous said...

มีแคนโต้มาฝาก ไม่รู้เข้ากันไหม

เมื่อถูกถามว่าคุณรักใครมากที่สุด
ลูกของเราเป็นคำตอบสุดท้าย
เมื่อมีเขา เราจะรักพ่อแม่มากขึ้น

10:20 AM  

Post a Comment

<< Home